วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้

นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๒๙๕ :: กันยายน ๕๒ ปีที่ ๒๕ คอลัมน์ริมธาร : ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้ รินใจ
“ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” หรือวัฒนา ภู่โอบอ้อม เป็นนักสนุกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยวัยเพียง ๑๒ ปีก็สามารถเอาชนะสตีฟ เดวิด ซึ่งเป็นแชมป์โลกในเวลานั้นได้ ต๋องได้เป็นแชมป์สนุกเกอร์สมัครเล่นโลกตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี และเมื่อเล่นเป็นอาชีพ ก็ไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการขนานนามว่า “ไทย ทอร์นาโด” ด้วยลีลาการเล่นที่รวดเร็วและแม่นยำ ในเวลาไม่กี่ปีเขา ได้แชมป์การแข่งขันระดับโลก ๓ รายการ เขาทะยานขึ้นสู่อันดับ ๓ ของโลกก่อนถึงวัยเบญจเพสนับเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ ๘ ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า ๑ ล้านปอนด์
แต่หลังจากนั้นแค่ ๓ ปีฝีมือของเขาก็ถดถอยลงอย่างผิดรูป ทำให้ตกอันดับอย่างรวดเร็วจนหลุดแม้กระทั่งอันดับที่ ๖๔ ของโลก ชื่อเสียงของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปจากวงการสนุกเกอร์ของเมืองไทย จากคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเสมือนเทพเจ้าแห่งวงการสนุกเกอร์ไทยที่แม้แต่หลับตาก็ยังแทงลง ต๋องกลับถูกมองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไม่มีใครอยากเชียร์อีกแล้ว
ชีวิตของเขาดูไม่ต่างจากนักกีฬาฝีมือดีของไทยหลายคนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งและโด่งดังถึงขีดสุด แต่แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วจนหายไปจากความทรงจำของผู้คน จะปรากฏเป็นข่าวอีกทีก็เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น เช่น ประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วย หย่ากับภรรยา หรือถูกตำรวจจับกุม ฯลฯ
การปีนไต่ให้ถึงความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือการรักษาความสำเร็จเอาไว้ให้ได้ ข้อนี้ก็มีคนเตือนเอาไว้แล้ว แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรยากเท่ากับการลงจากความสำเร็จได้โดยไม่เจ็บปวด นี้ใช่ไหมที่เป็นบทเรียนสำคัญจากชีวิตจริงของนักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์และคนดังอีกมากมายที่ผ่านมาให้เราเห็นคนแล้วคนเล่า
ต๋องเป็นคนหนึ่งที่พบว่าเมื่อพลัดตกจากความสำเร็จแล้ว สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ก็ตามมาอีกมากมาย เงินยืมถูกเพื่อนโกงนับสิบล้าน ธุรกิจที่ลงทุนเอาไว้ล้มระเนนระนาด เสียเพื่อนไปมากมาย ฯลฯ แต่เขาต่างจากอีกหลายคนตรงที่ สามารถทำใจยอมรับเหตุการณ์เหล่านี้ได้ การบวชและปฏิบัติธรรมหลังจากถอนตัวจากวงการสนุกเกอร์ ทำให้เขาตระหนักว่า “ทุกอย่างมันไม่แน่นอน....คุณอาจจะรวยเป็นพันล้านวันนี้ แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะตายก็ได้” เขามาได้คิดอีกว่าเงินนับร้อยล้านที่เคยมีนั้น เขาไม่เคยเห็นเป็นเงินสดเลย เพราะเป็นแค่ตัวเลขในสมุดบัญชี มันก็แค่ให้ความสุขทางใจในยามที่ได้เห็นตัวเลขเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะบอกกับเราว่าเงินนับสิบล้านที่ถูกโกงไปนั้นเป็นแค่ตัวเลขในบัญชีเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตจริง ๆ ของเขาเลย
เป็นเพราะตระหนักชัดถึงความไม่แน่นอนของโลก เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในฐานะนักสนุกเกอร์ได้ ไม่หวนหาอาลัยความสำเร็จอันหอมหวานในวันวานได้ เมื่อได้ไตร่ตรองชีวิตหลังบวชเรียน เขาพบว่ากีฬาสอนหลายอย่างให้แก่เขา นั่นคือ รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้จักอภัย ความพ่ายแพ้จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับเขาอีกต่อไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นแค่ความพ่ายแพ้ในเกมกีฬาหรือความล้มเหลวในหน้าที่การงาน ไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิต แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเขามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีแง่ดีอยู่ไม่น้อย “(สนุกเกอร์)สร้างเรามาได้ มันก็ทำให้เราลงได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปติดยึดอะไรมากนัก มองให้มันธรรมดา นี่แหละชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เมื่อก่อนเคยแทงกี่ลูกก็ลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ลง อ้าว ก็อายุมึงมากแล้วนี่ ก็เป็นธรรมดา จะไปออกคิวเหมือนเดิมได้ไง ถ้าทำได้ แล้วเด็กรุ่นใหม่มันจะไปรุ่งได้ไง ถ้ามึงยังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้”
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา แย่แค่ไหน ก็ยังมีข้อดีอยู่เสมอ สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ของเขาหมายถึงชัยชนะของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าตลอดไปหรอก มันก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่ ไล่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกเราจะเจริญเหรอ ถูกไหมครับ” คนที่คิดอย่างนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง หากยังคิดถึงแต่คนอื่นหรือส่วนรวมด้วย เป็นเพราะคิดอย่างนี้ได้ จึงสามารถเล่นกีฬาได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าตัวเองจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ตรงกันข้ามคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ย่อมเป็นทุกข์ทุกขณะที่เล่นกีฬา ต่อเมื่อเล่นจบแล้วได้ชัยชนะถึงจะมีความสุข แต่ก็สุขชั่วคราว เพราะเมื่อถึงคราวที่จะต้องลงแข่งใหม่ จิตใจก็หวั่นไหวเพราะกลัวความพ่ายแพ้
จะว่าไปแล้วมุมมองของต๋องยังสามารถนำไปใช้กับการทำงานเพื่อให้มีความสุขได้ด้วย ทุกวันนี้ผู้คนเคร่งเครียดกับการทำงานเพราะกลัวล้มเหลว ยิ่งคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ยิ่งทำใจยอมรับความล้มเหลวไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความล้มเหลวเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าประสบความสำเร็จมามากแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วความล้มเหลวก็ต้องมาเยือนจนได้ การเพียรพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการรู้จักทำใจเพื่อรับมือกับความล้มเหลวที่จะมาถึง
การทำใจมิได้หมายความแค่ยอมรับความจริงเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังรู้จักหาประโยชน์จากความล้มเหลวหรือมองเห็นแง่ดีของความล้มเหลว สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ทำให้เขาตระหนักชัดถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ซึ่งรวมถึงโลกธรรม อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ หากยังเป็นแชมป์ไม่รู้จักความพ่ายแพ้ เขาก็อาจหลงในโลกธรรมเหล่านี้อีกต่อไป ความพ่ายแพ้ยังสอนให้เขารู้จักชื่นชมยินดีในความสำเร็จของคู่ต่อสู้แม้จะอ่อนวัยกว่า เพราะนั่นหมายถึงความเจริญของโลก แต่ถึงจะไม่ใช่คู่แข่งที่อ่อนวัย เขาก็ยังยิ้มให้ได้เช่นกัน “ทุกวันนี้พอแทงลูกไม่ลงเหรอ ผมยิ้มให้กับลูกที่ผมแทงไม่ลงด้วย แล้วก็ดีใจชื่นชมคู่ต่อสู้เป็นด้วย เล่นแบบนี้เราแฮปปี้กว่า”
เมื่องานล้มเหลว ควรหรือไม่ที่จะปล่อยให้ใจล้มเหลวด้วย งานล้มแต่อย่าให้ใจล้ม ระหว่างคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่องานล้มเหลว กับคนที่ยิ้มได้เมื่อพบกับความล้มเหลว คนไหนที่เป็นสุขและฉลาดกว่ากัน สาเหตุลึก ๆ ที่ทำให้เรายอมรับความล้มเหลวไม่ได้ก็เพราะมันกระทบอัตตาข้างใน อัตตาหรือตัวตนนั้นต้องการประกาศตนว่ากูเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า สวยกว่า ฯลฯ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำเต็มที่เพียงใด เมื่อประสบกับความล้มเหลวหรือไม่สำเร็จอย่างที่หวัง ตัวที่ทุกข์จริง ๆ คืออัตตา แต่เพราะเราไปหลงเชื่ออัตตา ก็เลยไปเอาความทุกข์ของอัตตามาเป็นของเรา ผลก็คือกินไม่ได้ นอนไม่หลับ และทะเลาะกับผู้คน รวมทั้งเห็นเพื่อนร่วมงานที่เก่งกว่าเป็นคู่แข่งที่จะเก่งเกินหน้าเกินตาเราไม่ได้
การยินดีและยิ้มให้คู่แข่งที่เก่งกว่าเราหรือชนะเราได้นั้น เป็นวิธีกำราบอัตตาไม่ให้ผยอง และปิดกั้นมิให้ความอิจฉาริษยาเข้ามาครองใจ จึงทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์ และมีเวลาให้กับสติปัญญาได้ใคร่ครวญเพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง รวมทั้งพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ อาทิ คำวิพากษ์วิจารณ์
ต๋องเป็นผู้หนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับคำสรรเสริญล้นหลาม แต่ระยะหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ที่ผิดหวังในตัวเขา แต่เขากลับมองเหตุการณ์เหล่านั้นในแง่ดี “บางคนโดนด่า โดนสบประมาท แล้วไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ผมกลับมองว่าเราต้องเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นอาจารย์เลย เราต้องผ่านเขาให้ได้ เพราะถ้าเราผ่านไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรอก”
ฟังดูทั้งหมดเหมือนเป็นข้อคิดสำหรับผู้แพ้เพื่ออยู่กับความพ่ายแพ้ได้อย่างไม่ทุกข์ แต่ที่จริงแล้วยังเหมาะกับผู้ชนะในวันนี้ที่จะต้องก้าวลงจากความสำเร็จในวันพรุ่งด้วย อย่าลืมว่าการได้ชัยชนะในวันนี้ไม่ยากลำบากเท่ากับการลงจากแท่นผู้ชนะในวันพรุ่ง ทุกวันนี้ตำราว่าด้วย how to สู่ความสำเร็จมีมากมายเต็มแผงหนังสือ แต่แทบไม่มีตำราว่าด้วย how to สำหรับการก้าวลงจากความสำเร็จเลย ผลก็คือโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่พลัดตกลงมาจากจุดสูงสุดของชีวิตอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตามต๋อง ศิษย์ฉ่อยวันนี้ไม่ได้เป็นคนที่พร้อมอยู่กับความพ่ายแพ้และทิ้งชัยชนะไว้เบื้องหลัง แต่เขาได้หวนคืนสู่วงการสนุกเกอร์อีกครั้ง และกลับมาเป็นแชมป์ทั้งระดับชาติและระดับทวีป พร้อมกับเตรียมเข้าสู่วงการระดับโลก แต่ครั้งนี้เขามาด้วยลีลาการเล่นที่สุขุม ผ่อนคลายและไม่ขาดรอยยิ้ม จากคนที่ใจร้อน บัดนี้เขาใจเย็นและปล่อยวางมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เขาบอกตัวเองยามที่เข้าแข่งขันก็คือ “นี่คือแมตช์ที่สำคัญที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีผลกับเรา”
เมื่อถึงจุดสูงสุดก็ต้องพร้อมคืนสู่สามัญ เมื่อประสบความสำเร็จถึงขีดสุดก็ต้องพร้อมวางมือเมื่อถึงเวลา หรือไม่ก็ต้องพร้อมยอมรับความล้มเหลวเมื่อมันมาเยือน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือขณะที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการ ก็ต้องพร้อมลืมความสำเร็จที่ผ่านมาและทำตนเสมือนคนธรรมดา ที่อยู่กับปัจจุบันอย่างดีที่สุด จนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า (คำพูดของต๋อง ศิษย์ฉ่อย คัดมาจากบทสัมภาษณ์เรื่อง “My Turn” โดยวิไลรัตน์ เอมเอี่ยมใน A Day Bulletin ฉบับที่ ๔๘ มิถุนายน ๒๕๕๒)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น